UFABETWINS “มวยนั้นแตกต่างจากกีฬาชนิดอื่น”
UFABETWINS “ถ้าคุณเป็นนักฟุตบอลที่เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก จะมีแสงสปอตไลท์ส่องมาที่คุณทุกอาทิตย์ นั่นทำให้มีชื่อคุณอยู่ในพื้นที่สื่อเสมอ แตกต่างจากนักมวยที่แต่ละไฟต์อาจเว้นระยะห่างนานกว่า 18 เดือน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนที่จะรักษาชื่อเสียงของคุณให้ผู้คนพูดถึงกันได้ตลอด” ไนเจล คูรี ผู้เชี่ยวชาญการตลาดด้านกีฬากล่าวกับ BBC Sport
คำกล่าวด้านบนคือความจริง สะท้อนให้เห็นว่านักมวยที่ “เก่ง” กับนักมวยที่ “ดัง” นั้น อาจจะไม่ใช่ของคู่กันเสมอไป ถึงแม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าการจะเป็นนักมวยดัง นั้นจำเป็นที่จะต้องเริ่มจากการเป็นนักมวยที่เก่งก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเป็นนักมวยที่เก่งแล้วชื่อเสียงเงินทองจะไหลตามมาโดยอัตโนมัติ
ในปัจจุบันมีนักมวยฝีมือเก่งกาจมากมายที่มาพร้อมกับสถิติการชกอันสวยหรู แต่เชื่อเถอะว่าบางคนคุณอาจจะยังไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามกับนักมวยอีกประเภท ที่มีทุกอย่างครบถ้วน ทั้งฝีมือ, ชื่อเสียง, คาแรกเตอร์เฉพาะตัว, และมูลค่าทางการตลาดสูงลิบ ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดสำหรับนักมวยประเภทดังกล่าวในยุคปัจจุบันยังไงก็คงหนีไม่พ้นชื่อของ “ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์” เจ้าของฉายา “พริตตี้บอย” และ “เดอะ มันนี่” ผู้มาพร้อมกับความร่ำรวยและสถิติไร้พ่ายที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี ส่วนอีกชื่อ ที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ คือ “ไทสัน ฟิวรี” ยอดมวยรุ่นเฮฟวี่เวทจากอังกฤษ กับคาแรกเตอร์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร
พริตตี้บอยผู้เปี่ยมเสน่ห์
เรื่องฝีมือบนสังเวียนของ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูดถึงกันอีกต่อไป เพราะตลอดระยะเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมา “เดอะ มันนี่” พิสูจน์อย่างประจักษ์ชัดแล้วว่าเขาคือหนึ่งในนักมวยที่ฝีมือดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ยืนยันด้วยสถิติชนะรวด 50 ไฟต์ โดยไม่เคยรู้จักคำว่าพ่ายแพ้ แทบไม่เคยเสียโฉม สมดั่งฉายาตอนแรกอย่าง “พริตตี้บอย” ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชื่อของเขาจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งวงการมวย
อย่างไรก็ตาม ฝีมือก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยคือ “เกมนอกสังเวียน” ของเขา ซึ่งลำพังแค่การเป็นสุดยอดนักชกไร้พ่ายนั้นไม่เพียงพออย่างแน่นอนที่จะผลักดันให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังระดับนี้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพูดถึงในเรื่องของสไตล์การชก ฟลอยด์ ไม่ใช่นักชกสายเอนเตอร์เทนคนดู ตรงกันข้ามเขามักจะรัดกุมและเน้นการป้องกันเป็นสำคัญเสมอเมื่อขึ้นสังเวียน จนแฟนมวยบางส่วนถึงกับปรามาสด้วยซ้ำว่าเป็น “สไตล์ที่ขี้ขลาดและน่าเบื่อ”
แล้วทำไมเขาถึงกลายเป็นนักมวยที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจได้ล่ะ?
ในช่วงแรกที่ ฟลอยด์ เทิร์นโปรเข้าสู่สนามมวยอาชีพหลังจากคว้าเหรียญทองแดงโอลิมปิก ปี 1996 (รุ่นเดียวกับที่ สมรักษ์ คำสิงห์ คว้าเหรียญทอง) ในการชกมวยสากลสมัครเล่น เขาได้เข้าไปอยู่กับ “บ็อบ อารัม” โปรโมเตอร์ระดับตำนานที่เห็นแวว และต้องการปลุกปั้นนักชกรายนี้
“บ็อบ อารัม ต้องการให้ฟลอยด์กลายเป็น ‘ชูการ์ เรย์ เลนเนิร์ด’ คนต่อไป เขาอยากให้ ฟลอยด์ มีคาแรกเตอร์แบบนั้น เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม สุภาพเรียบร้อย เป็นขวัญใจอเมริกันชน”
“อารัมรู้ว่าการจะดันนักมวยผิวดำในพิกัดน้ำหนักรุ่นเล็กนั้นให้มีชื่อเสียงโด่งดังนั้นเป็นเรื่องที่ยาก เพราะในพิกัดนี้เต็มไปด้วยยอดนักชกเชื้อสายฮิสแปนิก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าบุคลิกแบบสุภาพบุรุษขวัญใจอเมริกันชนมันจะได้ผล”
“แต่แฟนมวยนั้นไม่ได้โง่ พวกเขาสัมผัสได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของฟลอยด์นั้นโอ้อวดและหยิ่งผยอง สิ่งที่อารัมวางแผนไว้จึงไม่ได้ผลโดยสิ้นเชิง” โจนาธาน สโนว์เดน นักข่าวจาก Bleacher Report กล่าว
หลังจากนั้น ฟลอยด์ได้เปลี่ยนโปรโมเตอร์ โดยเขาได้ย้ายมาอยู่กับ “อัล เฮย์มอน” อีกหนึ่งโปรโมเตอร์ชื่อดัง และที่นี่เองทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“ถ้าผมได้อยู่กับ อัล เฮย์มอน ตั้งแต่แรก ตอนนี้ผมคงร่ำรวยเป็นเศรษฐีพันล้านไปแล้ว” ฟลอยด์ ซึ่งตอนนี้มีทรัพย์สินรวมประมาณ 550-700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กล่าวกับ The New York Times
สิ่งที่ อัล เฮย์มอน บอกกับฟลอยด์ คือให้เขาเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา สร้างคาแรกเตอร์แบบตัวร้าย เพราะตอนนี้อเมริกามีฮีโร่เยอะมากพอแล้ว การเป็นตัวร้ายในหมู่ฮีโร่คือความแตกต่าง มีเสน่ห์ และสามารถสร้างความสนใจได้ หลังจากนั้นก็เหมือนการปลดล็อก ในพริบตาเจ้าของฉายา “พริตตี้บอย” ก็กลายเป็นจอมโอ้อวด เย่อหยิ่ง และกวนอวัยวะเบื้องล่างอย่างไม่มีใครเหมือน
“ผมชอบที่จะนำความบันเทิงมาสู่กีฬา ดังนั้นผมจึงชอบที่จะพูดจาโอหังเสียงดังออกไป และผมก็ไม่สนใจด้วยว่าผมเคยพูดอะไรออกไป เพราะถ้าผมสนใจ ผมคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้” ฟลอยด์กล่าวในการสัมภาษณ์สื่อ ก่อนที่เขาจะขึ้นชกกับ “วิคตอร์ ออร์ติซ”
และไม่ใช่แค่ความบันเทิงในเกมกีฬาเท่านั้น ฟลอยด์ยังสร้างตัวเองให้กลายเป็นรูปแบบหนึ่งของความบันเทิง ในยุคที่มีโซเชียลมีเดียเป็นอาวุธ เขาสามารถสร้างความบันเทิงได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการ “อวดรวย” จนกลายเป็นหนึ่งที่มาของฉายา “เดอะ มันนี่”
ฟลอยด์รู้ดีว่าจะทำยังไงให้คนหมั่นไส้ การอวดรวยคือวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุด ในทุกๆโพสต์ที่เขาเผยแพร่สู่สาธารณะนั้น ผ่านการคิดวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้วว่าจะได้รับการตอบสนองยังไง เขาไม่ได้ต้องการให้คนชอบ เขาเพียงแค่อยากสร้างอิมแพคให้เป็นที่สนใจของสังคมเท่านั้น
นอกจากนั้น อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ฟลอยด์เลือกใช้เพื่อสร้างความบันเทิงในแบบของเขาคือการทำกิจกรรมร่วมกับเหล่าคนดัง โดยเฉพาะบรรดาแรปเปอร์ที่มีหลายคนเป็นเพื่อนซี้ของเขา หรือแม้กระทั่งขึ้นเวทีมวยปล้ำ WWE ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหน้าสื่อกีฬาหรือหน้าสื่อบันเทิง ชื่อของ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ก็จะปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ
นี่แหละคือกลยุทธ์นอกสังเวียนของยอดมวยรายนี้ และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยรู้สึกหมั่นไส้เขาแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าคุณได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยักษ์ใหญ่จอมเจ้าเล่ห์
ในบรรดาเหล่าซูเปอร์สตาร์ไซส์ยักษ์รุ่นเฮฟวี่เวท “ไทสัน ฟิวรี” คือหนึ่งในชื่อที่โดดเด่นที่สุด เขาคือชายร่างยักษ์เจ้าของส่วนสูง 203 เซนติเมตร จากเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ
นั่นคือความร้ายกาจของฟิวรียามที่อยู่บนสังเวียน แต่อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้เจ้าของฉายา “ยิปซีคิง” รายนี้ครองใจแฟนมวยทั่วโลกได้ คือกลยุทธ์นอกสังเวียนที่ร้ายกาจไม่แพ้กัน
“การเป็นนักมวยที่มีแค่ความสามารถนั้นไม่เพียงพอ”
“มันอาจจะเพียงพอที่ทำให้สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่มันไม่เพียงพอที่จะทำให้ยอดขายตั๋วสูงหรือเพียงพอให้คนพูดถึงคุณหลังการต่อสู้จบลง” ฟิวรีกล่าวกับ BBC Radio 5 Live
อดีตแชมป์โลกอย่าง “นาซีม ฮาเหม็ด”, “ริกกี้ ฮัตตัน”, “อาเมียร์ ข่าน” หรือแม้แต่ “แอนโธนี่ โจชัว” แชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท 4 สถาบันในปัจจุบัน พวกเขาเหล่านี้คือนักชกยอดฝีมือจากแดนผู้ดีอังกฤษ แต่ละคนมีสไตล์การสู้ที่จัดจ้านเป็นของตัวเอง แต่เมื่อข้ามน้ำข้ามทะเลมายังสหรัฐอเมริกา พวกเขากลับไม่สามารถมัดใจอเมริกันชนได้เท่าที่ควร ตรงกันข้ามกับฟิวรีโดยสิ้นเชิง
ฟิวรี คือยักษ์ใหญ่ที่ฉลาดเป็นกรด เขาเข้าใจธรรมชาติของชาวอเมริกันเป็นอย่างดีว่าพวกเขานั้นชอบความโผงผาง ครึกครื้น ตลกขบขัน ดังนั้น ฟิวรีจึงรู้ดีว่าเขาต้องทำยังไงถึงจะสามารถครองใจอเมริกันชนได้
ตัวอย่างวีรกรรมสุดบ้าบอของฟิวรี อาทิ การแต่งตัวเป็นแบทแมนในงานแถลงข่าวเมื่อปี 2015, การเปิดตัวพร้อมเชียร์ลีดเดอร์ 5 คนในการแถลงข่าวเมื่อปี 2016, แต่งตัวแบบชาวเม็กซิกันก่อนไฟต์พบ ออตโต้ วาลลิน เมื่อปี 2019, ใช้เงินส่วนตัวซื้อเบียร์แจกจ่ายแฟนๆ หรือแม้กระทั่งการปรากฏตัวในศึกมวยปล้ำ WWE
นอกจากนั้นอีกหนึ่งไม้เด็ดที่ฟิวรีใช้ในการพิชิตใจคนได้อย่างอยู่หมัดคือ “ศิลปะในการพูด”
“ชายคนนี้คือคนที่มีวาทะศิลป์ดีพอๆ กับฝีมือการต่อสู้ เขามีความเฉลียวฉลาดและรู้ว่าต้องแสดงมันออกมาในช่องทางไหน” แฟรงก์ วอร์เรน โปรโมเตอร์ของฟิวรีที่ประเทศอังกฤษกล่าว
“ฟิวรี่มีการพูดที่ดึงดูดใจอยู่เสมอ เขาสมควรที่จะได้ไปออกในรายการ Late Night Show ของ จิมมี ฟอลลอน หรือ จิมมี คิมเมล ด้วยซ้ำ”
“วิธีการพูดของเขาอัศจรรย์ถึงขั้นที่ว่า เขาไม่ใช่แค่ทำให้ผู้ชมรู้สึกสนใจ แต่เขานั้นสามารถตรึงผู้ชมได้อย่างอยู่หมัดตลอดเวลาที่เขาพูดได้” ไมค์ ไทสัน กล่าวถึงนักชกรุ่นน้อง
เช่นเดียวกับ บ็อบ อารัม โปรโมเตอร์รุ่นเก๋า ที่ถึงแม้จะผ่านการดูแลนักมวยมาหลายร้อยหลายพันชีวิต แต่เขาก็ยังออกมายอมรับว่า ไทสัน ฟิวรี คือหนึ่งในนักมวยยุคปัจจุบันที่มีเสน่ห์และจุดขายมากที่สุด
“สำหรับผม เขาเป็นเหมือนส่วนผสมระหว่าง มูฮัมหมัด อาลี กับ จอร์จ โฟร์แมน”
“ฟิวรีนั้นมีความอัจฉริยะเช่นเดียวกับอาลี ทั้งคู่มีความโผงผาง ตรงไปตรงมา แต่ก็ยังเต็มเปี่ยมด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ”
“อีกด้านหนึ่ง ฟิวรีก็สามารถสร้างอารมณ์ขันและเสียงหัวเราะแก่คนรอบข้างได้เหมือนกับ จอร์จ โฟร์แมน”
นี่แหละคือกลยุทธ์นอกสังเวียนของ ไทสัน ฟิวรี ที่ใช้ในการพิชิตใจคนทั่วโลก
สรุปกลยุทธ์
หลังจากได้รู้เรื่องราวการก้าวขึ้นเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ไม่ได้อาศัยแค่ฝีมือเชิงมวยของทั้ง ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ และ ไทสัน ฟิวรี ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อนำเรื่องราวมาวิเคราะห์อย่างละเอียดก็จะเห็นได้ว่า ด้วยภาพลักษณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งคู่กลับมีกลยุทธ์ที่ใช้สร้างชื่อเสียงในตัวเองที่ค่อนข้างเหมือนกัน
1. รู้ว่าผู้คนต้องการอะไร – ในข้อนี้ ฟลอยด์เลือกที่จะเผยตัวตนที่แท้จริงออกไป เป็นตัวร้ายจอมปากดีและโอหัง เช่นเดียวกับฟิวรี ที่ใช้เข้าใจวัฒนธรรมอเมริกันอย่างลึกซึ้ง จึงเลือกที่จะสร้างคาแรกเตอร์เป็นยักษ์ใหญ่จอมเพี้ยน ที่มักจะทำอะไรหลุดโลกและสร้างความฮือฮาได้อยู่เสมอ
2. ไม่กลัวที่จะถูกเกลียด – แน่นอนว่าด้วยคาแรกเตอร์ของทั้งคู่ ไม่แปลกเลยที่จะมีคนชื่นชอบพอๆกับคนที่เกลียด แต่พวกเขาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย สนใจแค่ว่าขอแค่ชื่อของตัวเองเป็นที่พูดถึงก็เพียงพอแล้ว
3. ใช้โซเชียลมีเดียเป็นอาวุธ – นี่คือสิ่งที่นักมวยรุ่นใหม่ได้เปรียบนักมวยรุ่นเก่า พวกเขาสามารถสร้างความบันเทิงให้กับแฟนๆได้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ยามขึ้นสังเวียน และทั้งคู่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้
4. สร้างสปอตไลท์ให้ตัวเองอยู่เสมอ – ฟลอยด์ และ ฟิวรี ต่างก็เคยปรากฏตัวในศึก WWE มาแล้ว นอกจากนั้นพวกเขายังมีเพื่อนเป็นเหล่าคนดังมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ตามมาคือความสนใจจากผู้คน โดยเฉพาะผู้คนนอกวงการมวย เพราะไม่ว่าจะเป็นสื่อชนิดไหน ก็จะมีชื่อของพวกเขาปรากฏอยู่เสมอ
นี่แหละคือกลยุทธ์นอกสังเวียนของ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ และ ไทสัน ฟิวรี ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ยอดมวยยุคนี้แค่ฝีมือดีอย่างเดียวนั้นไม่พอ…
คลิกเลย >>> UFABETWINS
อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> https://www.amberfordphoto.com/